เมื่อไม่นานมานี้ PS ได้มีโอกาสดูวีดีโอของ Tedtalk (เป็นชาแนลที่รวมเอาผู้ที่อยุ่ในวงการต่างๆมาพูดประสบการณ์หลากหลายให้ฟังกัน) หนึ่งในนั้นที่เราว่าเริ่ดมากเลยคือ เป็นวีดีโอของ โทนี่ ฟาเดลล์ (Tony Fadell) ถามว่าเค้าคือใคร บอกตรงๆตอนแรกเราก็ไม่รู้จักนะ แต่ถ้าเอ่ยถึงอุปกรณ์ฟังเพลงอย่าง Ipod ทุกคนต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะเค้านี่แหละคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบอุปกรณ์ที่สวยคลาสิคอันนั้น
เค้าเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า การจะออกแบบหรือสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่าง สิ่งสำคัญคือ “การสังเกต” แหมะพูดง่ายแต่ทำยากนะ เพราะอะไร เพราะคนเราทุกวันนี้อยู่กับความเคยชิน เมื่อชินอะไรมากๆแล้วมันจะทำให้เราคิดอะไรใหม่ๆไม่ออก เพราะเราไม่คิดว่าสิ่งที่เราเจอทุกวันเป็นปัญหา!! พอโทนี่พูดออกมาแบบนี้ มันกระแทกใจเรามากนะ อันที่จริงน่าจะกระแทกใจใครหลายคนในสังคมนี้ (จริงๆโทนี่ไม่ได้พูดแบบนี้เป๊ะนะ เราสรุปมาให้ฟังเฉยๆ)
ยกตัวอย่างเช่น หากย้อนกลับไปหลายๆๆปีก่อน ก่อนที่พวกตระกูลไอโฟนต่างๆจะเกิดมา เวลาที่เราซื้อโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ที่มีแบตเตอร์รี่ จำกันได้มั้ยว่า เราทำอะไรเป็นอย่างแรก ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก ปัง!! ชาร์ตแบตไงล่ะ เราจำเป็นต้องชาร์ตแบตอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อการใช้ในครั้งแรก คนอย่างเราๆซึ่งเป็นผู้ใช้ก็ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ คู่มือเค้าบอกให้ชาร์ตก็อ่ะ ชาร์ต ไม่มีปัญหา แต่ผู้ประกอบการของบริษัทแอปเปิ้ลไม่ได้คิดยังงี้นะ เค้าสังเกตว่า ในเมื่อก่อนที่อุปกรณ์พวกนี้จะออกจากโรงงาน จำเป็นต้องมีการทดสอบเรื่องของแบตเตอร์รี่อยู่แล้วว่าใช้งานได้หรือไม่ ทำไมก่อนที่เราจะปล่อยสินค้าออกไป เราไม่ทำให้แบตเตอร์รี่อยู่ในสภาพที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้เลยล่ะ Oh My Goddd (คิดได้ง่ะ) หลังจากนั้นก็เป็นที่มาว่าทำไมเราถึงสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้เลยในครั้งแรกที่ซื้อมา
ที่โทนี่ยกตัวอย่างมา ‘เป็นพลังที่ทรงอิทธิพลของการสังเกต’ ที่ทำให้การใช้สินค้าอย่างไอโฟนในยุคเริ่มแรกเป็นที่จดจำว่า ใช้ได้เลยนะ ไม่ต้องชาร์ตแบต ซึ่งต่างจากสินค้าอื่นในท้องตลาด ณ ขณะนั้น ยังไม่รวมพวกงานดีไซน์อะไรต่างๆ ทุกวันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมแอปเปิ้ลถึงกลายเป็นอันดับต้นๆในด้านเทคโนโลยีภายในเวลาไม่กี่ปี
พอได้ดูวีดีโอนี้แล้ว มันทำให้ PS ลองมาย้อนมาดูในวงการเครื่องสำอาง ว่ามีอะไรที่เกิดมาจากการสังเกตบ้าง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเวลาใช้มาร์คพอกหน้า จะมีแค่พอกทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออก ซึ่งส่วนใหญ่คนจะใช้มาร์คในเวลากลางคืน บางคนอาจจะเผลอหลับไป จนตื่นมาล้างตอนเช้า นั้นเลยเป็นที่มาของสลีปปิ้งมาร์ค ที่พอกทิ้งไว้เลยข้ามคืนแบบไม่ต้องกังวล
หรือคลีนซิ่งบางยี่ห้อที่โฆษณาว่า เช็ดเครื่องสำอางออกแล้วนอนได้เลย สะอาดแบบไม่ต้องล้างอีกครั้ง อาจจะเกิดมาจากการสังเกตพฤติกรรมที่ขี้เกียจของสาวบางกลุ่ม เช่นไปเที่ยวกลางคืนมา หรือเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน อยากหาอะไรที่แค่เช็ดๆก็สะอาด ไม่ต้องล้างให้ยุ่งยาก จะได้หลับได้เลย อะไรแบบนี้
ซึ่งถ้าคุณอยากทำธุรกิจขึ้นมาซักอย่าง อย่างเช่นเครื่องสำอางเนี่ย คุณต้องลองสังเกตดูว่า ในการใช้สินค้าซักชิ้น มันมีปัญหาอะไรรึเปล่าที่อยากแก้ไข ลองมองจากมุมคนที่ไม่เคยใช้ หรือมองแบบเด็กๆก็ได้ เราสมมตินะ เช่น ทำไมการล้างหน้าต้องทำสเตปที่ 1 2 3 ล่ะ หากมีบางคนที่อยากรวบเอา 1-3 มาเป็นขั้นตอนเดียวจะได้มั้ย เห้ยเราว่ามันจะทำให้คุณได้ไอเดียใหม่ๆ เพื่อออกแบบสินค้าได้โดนใจลูกค้าได้อีกเยอะนะ ยังไงลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการธุรกิจดูนะคะ
กลับมาที่โทนี่อีกครั้ง ซึ่งเราจะจบกันด้วยคำพูดนี้ของเค้าว่า “ความเคยชินจริงๆมันเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะมันทำให้เราไม่ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทุกครั้ง แต่ความเคยชินมากเกินไป มันทำให้เราไม่ก้าวออกจากกรอบเพื่อไปหาสิ่งที่ดีและง่ายกว่า”