ไดเอทแบบใหม่ กิน 5 อด 2 มันเวิร์คจริงหรือ

อัพเดทเทรนด์สุขภาพกันหน่อย กับการไดเอทวิธีใหม่จาก หนังสือ ‘The Fast Diet’ ของประเทศอังกฤษ ของ Dr. Michael Mosley และ Mimi Spencer ว่ากันด้วยเรื่องของการลดน้ำหนักด้วยวิธีแบบอดอาหารเป็นช่วงๆ หลักการง่ายมาก (แต่ทำยากแท้) คือ ในหนึ่งสัปดาห์ให้คุณกินอะไรก็ได้ที่อยากกินใน 5 วัน ส่วนอีกสองวันที่เหลือจำกัดอาหารอยู่แค่วันละ 500 แคลอรี่ (สำหรับผู้หญิง) และ 600 แคลอรี่ (สำหรับผู้ชาย) เรียกว่าเป็น ‘การกินน้อย แต่น้อยอย่างมีลีลาชั้นเชิง ในเวลาที่กำหนด’ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้มากกว่าวิธีปกติทั่วไปที่เคยใช้กัน ซึ่งนอกจากช่วยลดน้ำหนักได้แล้วคุณหมอที่เขียนหนังสือยังเคลมอีกว่า วิธีนี้ยังช่วยได้มากกว่านั้นอีกนั่นคือ

1.ช่วยกระตุ้นสมองส่วนความจำให้เฉียบขึ้น: จากการศึกษาพบว่าการอดอาหารด้วยวิธีอดเป็นช่วงๆ จะช่วยเพิ่ม brain- derived neurotrophic factor หรือ BDNF ซึ่งโปรตีนตัวนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นสมองส่วนของความจำ เราจึงได้สมองส่วนนี้เพิ่มขึ้นมาฟรีๆจากวิธีการอดอาหาร

2.ช่วยลดความเครียดและทำให้อารมณ์ดี: ไม่ได้เชื่อว่าการอดอาหารเป็นช่วงๆจะทำให้เราเครียดน้อยลงและอารมณ์ดีขึ้น (ใครที่เคยอดอาหารน่าจะเข้าใจมูดในช่วงนั้นว่ามันบ่จอยแค่ไหน) แต่จากงานวิจัยพบว่าโปรตีน BDNF ข้างต้นจะช่วยเข้าไปยับยั้งความเครียดและปรับสภาพอารมณ์ได้ในช่วงที่เรามีการอดอาหารเป็นช่วงๆนี้

3.ช่วยเพิ่มความไวของฮอร์โมนอินซูลิน: ฮอร์โมนอินซูลินจะปล่อยออกมาเพื่อจับน้ำตาลไปเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปแบบอื่นเพื่อใช้ และที่เหลือก็จะเก็บสะสมไว้ ซึ่งการอดอาหารเป็นช่วงๆจะทำให้อินซูลินมีการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกว่าเพิ่ม insulin sensitivity จึงลดโอกาสเสี่ยงของโรคอ้วน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ เป็นต้น

4.ช่วยให้อายุยืนขึ้น: การอดอาหารทำให้ IGF1, an insulin-like growth hormone ผลิตน้อยลง ซึ่งงานวิจัยพบว่ายิ่งมี IGF1 น้อยยิ่งลดภาวะเสี่ยงของโรคที่เกิดจากอายุมากขึ้น (age- related diseases) อย่างโรคมะเร็ง เป็นต้น แล้วก็มีงานวิจัยในหนูพบว่าหนูที่ไม่ตอบสนองต่อ IGF1 และอยูในภาวะจำกัดอาหาร จะมีชีวิตได้ยืนยาวกว่าหนูที่ตอบสนอง อีกทั้งหนูเหล่านั้นยังสุขภาพดีขึ้นด้วย

            ซึ่งจริงๆประโยชน์มีเยอะกว่านี้แต่เราคัดตอนมาเล่าให้ฟังกัน และยังไงก็ตามนี่เป็นวิธีลดน้ำหนักวิธีหนึ่งซึ่งนอกจากเจ้าของหนังสือจะอ้างอิงถึงประโยชน์ของวิธีนี้แล้ว อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มที่ไม่มั่นใจว่าวิธีนี้จะไม่มีโทษจริงๆ เพราะหลักฐานการวิจัยส่วนใหญ่เป็นการทดลองในสัตว์ทั้งนั้น เรียกได้ว่ายังไม่แน่นพอ ดังนั้นณ จุดๆนี้เราจึงไม่ขอคอนเฟิมว่าวิธีนี้ดีหรือไม่ดีนะคะ ส่วนใครที่อยากจะลองวิธีนี้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนว่ามีโรคประจำตัวอะไรรึเปล่า และตัวเองไหวหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังค่ะ